วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

10. บทสรุป

     สวัสดีครับ ตอนที่ผมกำลังเขียนบล็อกอยู่นี้ก็ตอนตีหนึ่งกว่าๆ แล้ว อยากจะบอกไว้ในที่นี้ว่า บล็อกนี้เป็นบล็อกสุดท้ายแล้วนะครับ ผมจะมาสรุปเกี่ยวกับการเรียนวิชา 2223332 Applied Japanese Linguistics ในระยะเวลา 1 เทอมที่ผ่านมาครับ

     วิชานี้มีกิจกรรมที่หลากหลายตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบเลยครับ กิจกรรมแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 内容 タスク 言語現象

     1. เนื้อหาของวิชานี้จะเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ประยุกต์ครับ ซึ่งต่างกับภาษาศาสตร์ทฤษฎี ภาษาศาสตร์ประยุกต์มีโจทย์ปัญหามนุษย์เป็นประเด็นหลักครับ เราศึกษาศาสตร์นี้เพื่อแก้ไขปัญหาของมนุษย์ โดยแบ่งย่อยออกเป็นหลายศาสตร์ เช่น ภาษาศาสตร์สังคม
     เนื้อหาหลักๆ ที่ได้เรียนก็คือ SLA กับเทคนิคการสอนภาษาต่างประเทศครับ มีหลากหลายทฤษฎีให้ศึกษาครับ อันที่เด่นๆ ก็คือ Output Hypothesis ทำให้ผู้เรียนรับรู้ Gap ระหว่างตนเองกับเจ้าของภาษา แล้วก็ Noticing Hypothesis ก็สำคัญมาก การที่ผู้เรียนเกิดการตระหนักรู้ด้วยตนเองจะช่วยให้เกิด Intake หรือก็คือการนำความรู้มาเป็นของตัวเองนั่นเอง
    นอกจากนี้ สิ่งที่ผมคิดว่ามีประโยชน์มากที่สุดก็คือคำว่า i+1 นี่แหละครับ i+1 คือ Input ที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจและได้ความรู้ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงความรู้ได้ได้ง่าย เพราะระดับของความรู้สูงกว่าระดับของผู้เรียนแค่ขั้นเดียวเอง ไม่เพียงแค่เรื่องการสอนเท่านั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย เวลาพูดกับคนอื่น ถ้าเราคิดว่าหลายๆ ครั้งเราพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องละก็ ลองคิดดูซิว่าคนฟังจะเข้าใจเรื่องที่เรื่องที่เราพูดหรือเปล่า อย่างเช่นถ้าไปพูดเรื่องภาพยนต์ Avengers กับคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์ของ Marvel เขาก็คงจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเขาเคยดู Infinity War กับ Endgame แล้ว เขาก็คงจะได้เห็นฮีโร่มากมาย และการกระทำของฮีโร่ในภาพยนต์ดังกล่าว ทีนี้ถ้าเราจะคุยเรื่องหนึ่งเดี่ยวของฮีโร่สักหนึ่งคน ถึงเขาจะไม่เคยดูมาก่อนก็ตาม แต่ก็น่าจะพอเข้าใจได้บ้าง จะว่าไปเรื่องนี้มันก็คล้ายๆ กับเรื่อง Empathy ใช่มั้ยนะ

     2. Task ต่างๆ ของวิชานี้มีทั้งการเขียน การอ่าน การพูด การฟัง นับว่าได้ฝึกสกิลต่างๆ อย่างครบถ้วน สกิลที่ได้ฝึกแน่ๆ คือการเขียน เช่น 手際のよい説明 Task นี้ได้ฝึกเขียนหลายครั้งเลย สกิลที่ได้เรียนรู้คือ Empathy เราต้องคิดถึงใจของผู้อ่าน เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านมาถึงที่หมายได้อย่างถูกต้อง มันก็ดูท้าทายดีนะ เพราะก่อนที่เราจะลงมือเขียน เราต้องค้นหาข้อมูลทั้งหมดมาก่อน ทีนี้พอเรารู้หมดแล้ว ในระหว่างที่เราเขียนอยู่เราต้องนึกภาพตามว่าถ้ามีคนมาอ่านเขาจะเข้าใจเหมือนเรามั้ย มันก็เลยเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเราหาข้อมูลทุกอย่างมาก่อนแล้วนั่นเอง อีกเรื่องหนึ่งคือ 空想作文 อันนี้นอกจากการเขียนแล้ว เราก็ได้ฝึกใช้จินตนาการด้วย กิจกรรมจะมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มแรกจะเป็นกิจกรรมเขียนบรรยายภาพจากการ์ตูนสี่ช่อง อันนี้เราเห็นภาพชัดเจนแล้ว เราแค่เขียนบรรยายจากภาพเป็นตัวหนังสือเท่านั้น กิจกรรมต่อมามีพล็อตเรื่องให้ คราวนี้เราไม่เห็นภาพ เราต้องจินตนาการภาพต่างๆ ขึ้นมาเองแล้ว และสุดท้ายคือให้แต่งเรื่องอิสระ เราต้องคิดอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาทั้งหมด เริ่มตั้งแต่พล็อตเรื่องเป็นต้นมา จากกิจกรรมเหล่านี้จะเห็นได้ว่า i+1 ชัดๆ ถึงแม้ i+1 จะใช้กับ Input ก็เถอะ แต่การที่เราทำกิจกรรมนี้เรา Output แล้วก็ได้ฟีแบคกลับมาเป็น Input ทุกครั้ง นับว่าได้พัฒนาตนเองไปทีละขั้นๆ
     ส่วนด้านการอ่านก็มีอะไรให้อ่านเยอะแยะ แต่เราไม่จำเป็นต้องจำทุกอย่างที่อ่านไปก็ได้ เพราะเราอ่านเพื่อที่จะรับรู้ Gap แล้วนำมาใช้ในการย้อนมองดูตัวเอง
     ส่วนด้านการพูดก็มีสิ่งที่น่าสนใจคือ ฟิลเลอร์ เราได้รู้ว่าการใช้ฟิลเลอร์ของคนญี่ปุ่นมีหลากหลาย ส่วนด้านการฟังก็คือการเป็นผู้ฟังที่ดี ตรงนี้ก็ต้องใช้ Empathy เหมือนกัน อาจจะคิดได้ว่า Empathy เป็นตัวเอกของคลาสนี้เลยก็ว่าได้

     3. 言語現象 ส่วนมากเราเรียนเกี่ยวกับไววยากรณ์พวกนี้ไปแล้ว แต่การที่วิชานี้ยกเรื่องพวกนี้มาให้เราเรียน เพราะเราจะได้ย้อนมองดูเพื่อ Notice มันนั่นเอง หลังจากเกิด Noticing แล้ว เราก็จะเข้าใจมันมากขึ้น เช่น คำช่วยง่ายๆ อย่าง の มันทำให้เกิดคำกำกวมได้นะ คำว่า 父の写真 อาจตีความได้ว่า รูปที่พ่อเป็นเจ้าของ รูปที่พ่อเป็นคนถ่าย รูปที่พ่อเป็นคนถูกถ่าย มันทำให้เราตระหนักว่า ถึงจะเป็นไวยากรณ์ง่ายๆ แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความกำกวม นอกจากนี้ การใช้ ~のだ ก็เป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว เวลาที่ผมจะเขียน 作文 ต่างๆ ผมก็จะพยายามใช้ ~のだ เพราะหวังว่าจะสามารถใช้ไวยากรณ์นี้ได้อย่างแม่นยำในอนาคต

     จากที่กล่าวไปข้างต้น หากจะมองวิชาภาษาศาสตร์ญี่ปุ่นประยุกต์ในมุมมองของภาษาศาสตร์ประยุกต์แล้วละก็ วิชานี้มีทั้ง Input Output แล้วก็ Noticing ด้วย สุดยอดจริงๆ ครับ
     นอกจากสกิลทางด้านภาษาแล้ว สกิลอย่างหนึ่งที่ได้รับก็คือความขยันนะ เอ๊ะ หรือว่าสำหรับผมแล้วจะเป็นสกิลการปั่นงานกันนะ เพราะรู้สึกว่าอัพบล็อกไม่ต่อเนื่องเลย ชอบอัพรวดเดียวหลายๆ บล็อกมากกว่า55555
     ท้ายที่สุดก็ขอขอบคุณอาจารย์ที่จัดการเรียนการสอนวิชานี้ครับ อย่างที่บอกไปว่าวิชานี้มีการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบ นอกจากจะมีประโยชน์ในการพัฒนาทักษะของตัวเองแล้ว ยังนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย แถมยังได้รับฟีดแบคจากอาจารย์ ทำให้รู้แนวทางการพัฒนาตนเองในอนาคต
     ตอนนี้ก็ใกล้จะตีสามแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ สำหรับเทอมนี้ก็จบเพียงเท่านี้แล้ว บ๊ายๆ ครับ
     กู๊ดไนท์ สลีพไทต์ ฝันดีครับ

3 ความคิดเห็น:

  1. お疲れ様でーす!
    อัพเสร็จแล้วอย่าลืมนอนให้เต็มอิ่มน้าา เดี๋ยวจะไม่สบายเอา 555

    พอเห็นอั้นคลุงสรุปวิชานี้แบบเชื่อมโยงแล้ว ทำให้หมูดุดเพิ่งรู้สีกตัวว่า
    "ทุกอย่างที่เรียนมันใช้เชื่อมโยงกันได้หมดเลยนี่นา!!" ขอบคุณฮะที่ทำให้กระจ่าง 555

    หมูดุดเองก็ขี้เกียจเหมือนกัน ความถี่ในการอัพบล็อกนี่ติดลบมากเลย /แง
    แต่พออัพไปสักพัก เหมือนมีความขยันเพิ่มเหมือนกันเลยฮะ น่ามหัศจรรย์มากเลยนะ 55

    ปกติจากที่นั่งข้าง ๆ กันก็เห็นอั้นคลุงดูเอนจอยกับงานเขียนมากเลย ถือเป็นหน่ึงสีสันในการเรียนเลยฮะ ยินดีที่ได้เรียนวิชานี้ด้วยกันน้าา

    ตอบลบ
  2. ดีใจที่ Kittipit มาเรียนวิชานี้ค่ะ ทำให้รู้จักมากขึ้น รับรู้ถึงความชอบหลากหลาย (アニメ、ファンタジー)และบางครั้งมีไอเดียอะไรที่เก๋มากมาเขียนในงานที่ส่ง ขอโทษที่ให้งานเยอะและสร้างความทรมานในงาน 空想作文 นะคะ (แต่ชอบเรื่องลาบแมวมาก)555

    ตอบลบ
  3. ตลกตอนท้ายที่น้องบอกว่า ใกล้ตีสามแล้ว ขอไปนอน 5555 //เห็นด้วยที่น้องบอกว่า I+1 ไม่ได้ใช้แค่ตอนสอน แต่ใช้ได้แม้แต่ตอนคุยกับเพื่อน มันต้องคิดเยอะๆเนอะว่าเพื่อนจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดป่าว น้องสรุปได้ดีมากเลย สรุปงาน หรือความรู้ที่ได้เรียนมาเกือบทุกอย่างเลย บางอย่างพี่ลืมไปแล้วว่าเคยเรียน เช่นเรื่อง 父の写真 เวลาตอนนี้ตีหนึ่งครึ่งแล้ว กู๊ดไนต์สลีบไทต์ค่ะ

    ตอบลบ

10. บทสรุป

     สวัสดีครับ ตอนที่ผมกำลังเขียนบล็อกอยู่นี้ก็ตอนตีหนึ่งกว่าๆ แล้ว อยากจะบอกไว้ในที่นี้ว่า บล็อกนี้เป็นบล็อกสุดท้ายแล้วนะครับ ผมจะมาสรุปเก...